จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ห้องบันทึกกรรม




บันทึกกรรม

กฎแห่งกรรม" คือ อะไร ? "กรรม" คือ กฎของเหตุและผล  นั่นคือ "เหตุ" ที่ได้กระทำนำมาซึ่ง "ผล" ที่ต้องได้รับ "ผล" ที่ได้รับอยู่ในขณะนี้แสดงถึง "เหตุ" ที่เคยกระทำไว้แต่ก่อน นอกจากเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วแล้ว ยังมีการอธิบายกรรมอีกนัยหนึ่ง โดยอธิบายถึงกรรมดำกรรมขาว จำแนกเป็นกรรม 4 ประการ คือ

1. กรรมดำมีวิบากดำ ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดย ส่วนเดียว เช่น เป็นผู้ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายต่อพระตถาคต ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้น ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ ดื่มน้ำเมา

2. กรรมขาวมีวิบากขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่น ย่อมได้เสวยเวทนาที่ไม่มีความเบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว เช่น เป็นผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิดในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูดเพ้อเจ้อ ไม่มากไปด้วยความเพ่งเล็งอยากได้ มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ

3. กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ได้แก่ บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกาย วาจา ใจ อันมีความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบุคคลอื่นบ้าง ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียนบ้าง ไม่ความเบียดเบียนบ้าง มีทั้งสุขและทั้งทุกข์ระคนกัน

4. กรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ได้แก่ เจตนาใดเพื่อละกรรมดำอันมีวิบากดำ เจตนาใดเพื่อละกรรมขาวอันมีวิบากขาว และเจตนาใดเพื่อละกรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม เช่น ผู้ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด โพชฌงค์เจ็ด

มัน เป็นเรื่องที่ ธรรมดามาก เหมือนกับที่ เราเพาะปลูกเมล็ดมะม่วง ต่อมาเราก็ได้รับต้นมะม่วงและเมื่อเราเห็นต้นมะม่วงโตเราก็จะย่อมรู้ได้ว่า มันมาจากเมล็ดมะม่วง เช่นเดียวกัน ถ้าคนเราทำแต่สิ่งที่ดีๆ มาตลอดชีวิต ในชีวิตหน้าเราก็จะพบชีวิตที่สุขสบาย ในทางตรงกันข้ามหากคนที่ทำแต่ความชั่วมาตลอดชีวิตต่อไปในภายหน้าเขาก็ต้อง ประสบแต่ความทุกข์ยากลำบาก ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่ไม่พึงปรารถนา "กรรม" ให้ผลในรูปลักษณ์ต่างๆ และสามารถพบเห็นได้ในทุกๆ คน ดังเช่น คำ พูดที่ว่า "หว่านพืชเช่นไรได้รับผลเช่นนั้น" หมายความว่า เราปลูกพืชชนิดใด เราปลูกพืชชนิดใด เราก็จะได้รับผลของพืชเช่นนั้น ถ้าเราปลูกแตงโมเราก็ต้องได้ผลเป็นลูกแตงโม ถ้าเราปลูกลิ้นจี่ เราย่อมจะหวังได้เลยว่าต้องได้ผลเป็นลิ้นจี่แน่นอน ถ้าหากมิเป็นเช่นนั้นแล้วชีวิตของชาวสวนคงมีแต่ความยุ่งยากวุ่นวายเพราะจะ หวังอะไรไม่ได้เลยว่า เมล็ดที่ตนปลูกลงไปนั้นจะออกลูกเป็นอะไรกันแน่ !

ในด้านคณิตศาสตร์

คุณครูจะสอนเราว่า 1+1 = 2 ......... 1+1 คือ "เหตุ" และ "ผล" ต้องเป็น 2 แน่นอน
ในด้านฟิสิกซ์ 
 คุณครูก็จะสอนว่า "การกระทำทุกอย่างย่อมต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบ" เมื่อน้ำมีอุณหภูมิที่ 0 องศาเซลเซียส มันต้องแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง การลดอุณหภูมิ คือ กระทำเหตุ น้ำแข็งที่ได้ คือ ผลลัพธ์

ในด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์

คุณ ครูพละจะสอนเรา เสมอว่า "ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้ร่างกายแข็งแรง" แต่ถ้าเราสูบบุหรี่จัด ปอดของเราจะถูกทำลาย ถ้าเราดื่มเหล้ามากๆ เป็นประจำจะเป็นโรคตับแข็ง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือความเป็นเหตุและผลที่ตามมา

ในด้านมนุษย์สัมพันธ์

คนที่มีแต่ความ หยิ่งยโสจองหองคิดว่าตนจะต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอ คนอื่นทำผิดหมด เขาก็จะมีแต่ความสูญเสีย ขาดเพื่อนสนิท ถ้าคนเรารู้จักมีเมตตามีความอ่อนน้อมถ่อมตน ปฏิบัติต่อผู้อื่น ด้วยความจริงใจด้วยความเคารพยกย่องให้เกียรติ เขาก็ย่อมได้รับไมตรีจิตและแวดล้อมไปด้วยผู้คนที่คอยเมตตาให้ความช่วยเหลือ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นลักษณะของ "กรรม" และ "ผลของกรรม" ในรูปแบบที่ต่างกันไปตามเหตุและปัจจัย กรรมในแง่มุมต่างๆ ให้เรามาศึกษา สำหรับห้องบันทึกกรรมนี้ผมเอาไว้เก็บเรื่องราวผลงานเขียนของนักเขียนในดวงใจผม คือ คุณ ท.เลียงพิบูลย์ ซึ่งมีกว่า 276 ตอน และผมจะพยายามหามาให้ครบให้ได้


dekpakdee
18-11-53
.



กฎแห่งกรรม โดย ท.เลียงพิบูลย์


1.สิ่งลี้ลับและมหัศจรรย์
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑

 


หลาย ท่านได้ถามข้าพเจ้าว่า “วิญญาณ” หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์มีจริงไหม ทั้งที่ข้าพเจ้าเคยตอบมามากแล้ว แต่ก็ยังมีบุคคลที่สนใจได้พยายามไต่ถามมามาก ข้าพเจ้าก็ตอบสั้นๆ อย่างที่เคยตอบมาแล้วว่า ท่านเชื่อว่ามีจริง ข้าพเจ้าก็ว่ามีจริง หากท่านไม่เชื่อว่ามีจริง ข้าพเจ้าก็ว่าไม่มีจริง สิ่งที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ อยู่ที่ตัวท่านไม่ได้อยู่ที่ข้าพเจ้า พระ พุทธเจ้าท่านยกย่องผู้มีปัญญา ว่าเป็นผู้ประเสริฐเลิศกว่าสิ่งอื่น ท่านสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาหาเหตุผลด้วยตนเอง อย่าเชื่อสิ่งใดเพียงแต่เขาบอกเล่า หรือสิ่งที่ปู่ย่าตายายได้เคยปฏิบัติมาแต่โบราณติดต่อกันมาก็ดี ให้เราใช้สติปัญญาความสามารถนำมาพิจารณาด้วยตนเอง ให้รู้แจ้งความจริงก่อน เมื่อแน่ใจแล้วจึงเชื่อ ท่านไม่ให้เชื่อตามเขาบอกอย่างงมงาย เชื่อตามปู่ย่าตายายเชื่อตามกันมา แม้หลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ท่านก็ให้พิจารณาหาเหตุผลเสียก่อนค่อยเชื่อ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนามีเสรี ท่านให้ใช้สติปัญญาของตนเอง ฉะนั้นพิจารณาดูแล้วควรจะปฏิบัติเข้าหลักของท่านว่า ตนเองเป็นที่พึ่งของตน เรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่ตัวเองไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น ข้าพเจ้า ได้รับคำตักเตือนจากท่านผู้ใหญ่ ท่านผู้เชื่อแต่หลักทางวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผลง่ายๆ ที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ หลายท่านแสดงความหวังดีต่อข้าพเจ้า ท่านเหล่านี้ต่างก็เชื่อเรื่อง “กฎแห่งกรรม” และนิยมสนใจกันมากเมื่อมีเรื่องวิญญาณ เรื่องปาฏิหาริย์ หรือเรื่องศักดิ์สิทธิ์และลี้ลับเกี่ยวกับผีสางที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้น ท่านก็เกิดเป็นห่วงใยแทนเพราะเรื่องเหล่านี้พิสูจน์ไม่ได้ จะทำให้ผู้อ่านเสื่อมความนิยม ในเรื่องวิญญาณผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านคิดว่าพิสูจน์ยาก ข้าพเจ้ากราบขอบคุณที่ท่านห่วงและหวังดี เพราะมีความสนใจติดตามหนังสือของข้าพเจ้าตลอดมา และทุกท่านก็หวังดีตักเตือนต่อข้าพเจ้า นับว่าเป็นผู้มีพระคุณสูงยิ่ง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะลืมคุณค่าความหวังดีของท่านได้ จึงเรียนกับท่านที่เคารพว่า ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ แต่การที่เขียนขึ้นก็อาศัยเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว และประสบการณ์เป็นหลักและถือว่าความจริงเป็นของไม่ตาย หากทุกท่านได้ประสบการณ์ แล้วไม่กล้าเขียนกล้าเล่ากลัวคนไม่เชื่อจะหาว่างมงาย เหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ควรรู้ก็จะเกิดขึ้นแล้วก็สูญสิ้นไป โดยไม่มีผู้บันทึกเขียนเล่าต่อมาก็น่าเสียดาย เพราะปัจจุบันนี้ยังมีคนสนใจไม่น้อย ต่อไปอนาคตก็คงจะมีผู้ค้นคว้า หาความจริงมาพิสูจน์ ก็จะได้เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อไป อาศัยที่ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์และหมู่เพื่อนฝูง และท่านที่ศรัทธาได้บันทึกส่งมาให้ และข้าพเจ้าไม่ใช่คนงมงาย จึงได้พยายามพิจารณาก่อนจะเขียนก็ได้ชี้แจงอยู่ในตัวเรื่องแล้ว สำหรับ ผู้ถามมาจำนวนไม่น้อย ข้าพเจ้ายังไม่มีเวลาตอบ ก็จะขอตอบรวมกันในที่นี้ให้ทราบ ฉะนั้นการเชื่อว่าจริงหรือไม่จริงอยู่ที่ตัวท่าน เรื่องวิญญาณและสิ่งอภินิหาร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอให้ท่านใช้สติปัญญาที่มีหาเหตุผลความจริง ท่านตัดสินเอาเอง เพราะสิ่งเหล่านี้หาข้อพิสูจน์ยาก ข้าพเจ้าไม่สนับสนุนให้ท่านเชื่อ ขอให้ท่านพิจารณาดูด้วยตัวเอง ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมาจากผู้เชื่อถือได้

เช้าวันหนึ่ง ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จาก “คุณเชื้อ แนวบุญเนียร” บอกว่า “ผมอยากขอร้องให้คุณช่วยแนะนำผมรู้จักท่านผู้นั่งทางในเก่ง สามารถจะรู้ถึงสิ่งลึกลับให้ผมสักหนึ่งท่าน” ข้าพเจ้าถามว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ จึงต้องการหาผู้ที่มีความรู้ในเรื่องนี้” คุณ เชื้อพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มีซิครับ เมื่อคืนนี้ตอนตี ๒ ผมหลับอย่างสบาย เหมือนมีเสียงมากระซิบที่ข้างหู บอกว่าตื่นเถิดไฟจะไหม้เครื่องทำความเย็น เมื่อผมได้ยินไฟจะไหม้ ก็ตกใจรีบลุกขึ้นมาปิดสวิทช์เครื่องทำความเย็นในห้องทันที เวลานั้นผมยังไม่รู้สึกไหม้จริงหรือไม่ แต่เมื่อปิดสวิทช์ไฟแล้ว จึงเห็นควันกลิ่นไหม้ออกจากเครื่องทำความเย็น ผมนึกว่าคงมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรมาเตือน มาช่วยทำให้ผมพ้นจากอัคคีภัยไปได้ มันเป็นเรื่องแปลกซึ่งผมได้ประสบกับตัวผมเอง” ข้าพเจ้าพูดไปว่า “เอ้ เครื่องทำความเย็นมีฟิวส์ เวลาไฟรั่วมันก็คงตัดสวิทช์ในตัวเป็นอัตโนมัติอยู่แล้วนี่” เสียง คุณเชื้อพูดมาว่า “มันไหม้ทางพัดลมมาก่อนฟิวส์ยังไม่ทันขาดผมรีบถอดออก หากไม่ได้ยินเสียงกระซิบบ้านผมเกิดไหม้แน่ และทั้งเครื่องทำความเย็นอาจเกิดระเบิดขึ้นได้ อันตรายมากมายติดตามมา ผมจึงอยากรู้ว่ามีสิ่งลี้ลับอะไรที่ช่วยผมไว้” และพูดต่อไปว่า “ผมจะไปเที่ยวต่างประเทศสักพักหนึ่ง ออกเดินทางใน ๒ วันนี้ และคิดว่าจะรีบกลับมาทันงานประชุมเพลิงศพแม่ของคุณ”

ข้าพเจ้าบอก ว่า “งานศพแม่ผมไม่จำเป็น เรื่องเล็กน้อยอย่าเป็นห่วงเลย โปรดเที่ยวให้สนุก ทำจิตใจให้สบายเถิด งานศพแม่ผมถือว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญ อย่ากังวลการไป เที่ยวรอบโลกนั้นเมื่อไหร่จะได้ไปสักครั้ง ไปเที่ยวปล่อยอารมณ์ให้สนุกสนานอย่าก่อกวนใจในเรื่องเล็กๆ เลย มิฉะนั้นผมก็ไม่สบายใจ เพราะทำให้ผู้อื่นมีความห่วงความกังวลในเรื่องธรรมดาไม่สำคัญ” ต่อ จากนั้นก็ทราบข่าวว่า คุณเชื้อกับคุณวนิดาก็เดินทางไปเที่ยวทางยุโรปและอเมริกา แต่ก็กลับมาพอดีในวันงานศพแม่ข้าพเจ้า และได้อุตส่าห์มาในงานและเวลาประชุมเพลิง คืนหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ในห้อง โทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อรับขึ้นฟังก็ทราบว่า คุณประสิทธิ์ การุณยวานิช อยากจะเล่าเรื่องอภินิหารความดีให้ฟังว่า “เย็นวันนี้ผมได้ไป งานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หนึ่งที่วัดเทพศิรินทราวาส ได้พบเพื่อนเก่าเป็นข้าราชการ ท่านได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเอง แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องน่าคิดน่าเขียนมาก” ข้าพเจ้าถามว่า “เรื่องเป็นอย่างไรครับ จะเล่าหรือบันทึกมาให้ผม” เสียง ประสิทธิ์ตอบมาทางโทรศัพท์ “ผมได้รับเรื่องมาสดๆ ร้อนๆ เย็นวันนี้ ผมอยากจะถ่ายทอดให้คุณ ท. ทางโทรศัพท์ดีกว่า ถ้าช้าผมอาจลืมจำได้ไม่หมดก็จะเสียเนื้อเรื่องไป”  ข้าพเจ้าบอกว่า “ตกลงครับ ขอบคุณ โปรดเริ่มเล่ามาได้เลยครับ” ต่อจากนั้นคุณประสิทธิ์ก็ได้บรรยายถ่ายทอด มาให้ข้าพเจ้าดังได้เรียบเรียบขึ้นว่า ข้าราชการเก่า (ท่านขอร้องอย่าเอ่ยชื่อ) เล่าว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมได้ย้ายไปรับราชการหัวเมืองไกลทางชายแดน ซึ่งเป็นดินแดนใหม่สำหรับผม ซึ่งผมยังใหม่ต่อท้องถิ่นตำบลต่างๆ ใหม่ต่อถนนหนทาง เพราะเพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในจังหวัดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต 


คนช่วยชีวิตปลา ปลาก็ช่วยชีวิตคน วันหนึ่งผมได้ขับรถออกไปนอกเมือง ในชนบทอำเภอบ้านนอกห่างไกลมาก เมื่อขับรถออกไปไกลเพื่อดูชีวิตชาวชนบทและอาชีพ ก็พอดีไปเห็นชาวบ้านกำลังจับปลาในคูอยู่ข้างถนนกลุ่มหนึ่ง ขุดกั้นเป็นทำนบวิดน้ำจับปลา เห็นหลายคนวิ่งไล่ตะครุบปลาช่อนตัวใหญ่โดดหนีไปมา ชาวบ้านเหล่า นั้นไม่สามารถจะจับ ตัวมันใหญ่โต ต่างก็วิ่งไล่ล้อมเพื่อจับปลาช่อนตัวเดียว แต่ปลาตัวนั้นว่องไวโดดเร็ว และดีดตัวสูงข้ามหัวชาวบ้านที่ล้อมไว้ออกมาได้ ผมจึงหยุดรถข้างถนนออกมายืนดู ทันใดนั้น ปลาช่อนก็กระโดดขึ้นมาบนถนน และกระเสือกกระสนมาจนมุมข้างหน้าแทบเท้าของผม พวกชาวบ้านเหล่านั้น ก็ตะครุบตัวได้อย่างง่าย ไม่ดีดตัวโดดหนีต่อไป ผมก็เกิดมีความสงสารขึ้นมา นึกในใจว่าปลาช่อนตัวนี้แปลกประหลาดหนีขึ้นมาที่ผมยืนอยู่ คล้ายจะขอร้องให้ช่วยชีวิตมันไว้ ไม่หนีต่อไป ผมก็เกิดเมตตาจิตสงสาร จึงบอกกับพวกชาวบ้านเหล่านั้นว่า ผมขอซื้อปลาช่อนตัวนี้เถิดจะไปปล่อยเอาบุญ เมื่อตกลงซื้อขายกัน แล้ว ผมก็จ่ายเงินตามราคาที่ค่อนข้างจะแพงกว่าธรรมดา แล้วผมก็ให้นำปลาช่อนตัวนั้นไปใส่ในรถ คล้ายว่าปลาจะรู้ตัวว่ามีคนช่วยให้พ้นภัยแล้ว มันก็หยุดไม่ดิ้นไม่โดดต่อไปอยู่นิ่งในรถ ระหว่างที่กำลังตกลงใจซื้อปลาช่อนนำไปปล่อย ก็มองเห็นมีรถแล่นมาข้างหลังแล้ววิ่งผ่านขึ้นไปข้างหน้าเป็นรถขนาดเดียวกับ ของผม ครู่เดียวก็ลับสายตาไป

เมื่อผมซื้อปลาแล้วก็ต้องใช้ความคิด ว่า จะเอาไปปล่อยที่ไหนที่จะปลอดภัย ควรเป็นหนองน้ำลึกใหญ่หรือคลองหรือแม่น้ำ ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถจะติดตามไปจับมาอีก ผมขับรถพลางตาก็จ้องทั้งซ้ายและขวา เพื่อหาบึง คลอง หนองน้ำ ผมขับรถช้าๆ ส่ายตาเพื่อหาที่ปล่อยปลา ได้เห็นบึงใหญ่ห่างข้างทางไปประมาณ ๑๐๐ เมตร ก็หยุดรถข้างถนน คราวนี้จะทำอย่างไรดี จับปลาช่อนตัวนี้เดินลงข้างทางโดยปลาไม่ดิ้นไม่โดด ปลาขนาดสองกำมือก็นับว่าใหญ่ไม่ใช่เล่น และปลาช่อนเป็นปลาที่แข็งแรง ทำอย่างไรจึงไม่ให้มันดิ้นหลุดมือไป ก่อนจะเดินทางไปถึงบึงน้ำห่างจากถนน หากปลาตัวนี้เป็นตัวผู้ ก็คิดว่าเป็นปู่ปลาตัวหนึ่งที่ใหญ่โตเท่าที่ผมเคยเห็นมา ทันใดนั้น ผมก็คิดได้ว่าหลังรถมีผ้าขาวม้าอยู่ผืนหนึ่งเอาไว้สำหรับเช็ดรถยังดีพร้อม ไม่ขาดไม่เปื่อย คิดว่าเอาผ้าขาวม้าหุ้มห่อตัวปลาแทนสวิง ปลาคงจะดิ้นไม่ได้เหมือนเราจับด้วยมือคงไปไม่ทันถึงไหนคงจะอาละวาด ดิ้นหลุดมือเพราะตัวปลามันลื่นทั้งได้เห็นฤทธิ์ตอนปลาตัวนี้อาละวาดเวลาชาว บ้านต้องวิ่งไล่จับ เมื่อก่อนที่ผมจะได้จัดการจับปลาหุ้มห่อผ้าขาว ม้า ผมได้พูดว่าเราได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้จะนำไปปล่อยลงน้ำ เจ้าอย่าดิ้นอาละวาดนะ พูดแล้วก็เอาผ้าขาวม้าห่อ แล้วก็เดินออกจากรถลงไปข้างล่างเดินลุยตามคันนา ปลาตัวนั้นเหมือนจะรู้ภาษาคน ไม่ดิ้นสะบัดกระโดดเหมือนทำกับชาวบ้านเหล่านั้น

มันนิ่งให้ผมใช้ สองมือประคองเดินไป หรือมันอาจดิ้นจนเหนื่อยอ่อนมาก่อนก็เป็นได้ เมื่อมาถึงบึงก็มองดูน้ำใสมีบัวข้างบึงและต้นสาหร่าย และต้นไม้น้ำขึ้นทั่วไป แล้วผมก็หาที่น้ำลึก ผมแก้ห่อผ้าขาวม้าแล้วเอาปลาปล่อยลงน้ำผมยืนมองดูครู่หนึ่ง เห็นมันผุดขึ้น แล้วดำลงเหมือนจะแสดงความชอบใจที่ได้รอดชีวิตมาได้ มันคงดีใจมากที่กลับมาอยู่ในน้ำตามเดิม ผมยืนมองดูอยู่ ในใจนั้นเกิดปีติขึ้นมาที่ได้ช่วยปลาช่อนตัวนี้ให้มีชีวิตยืดยาวอยู่ต่อไป ผมยืนมองอยู่ครู่หนึ่งเห็นปลานั้นผุดขึ้นผุดลงหลายหน เหมือนจะแสดงความขอบใจที่ได้ช่วยชีวิตไว้แล้ว ก็ดำหายลงไปในก้นบึง เมื่อผมยืนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นปลาช่อนตัวนั้นโผล่ขึ้นมาอีก ผมก็เดินกลับมาขึ้นรถเพื่อขับต่อไปให้ถึงอำเภอหรือหมู่บ้านตามที่ผมตั้งใจ ไว้ เป็นทางที่ผมไม่เคยผ่านมาก่อน เมื่อขับรถไปได้สักพักหนึ่ง มองดูข้างหน้าเห็นคนมุงดูกลุ่มหนึ่งแต่ไกล เมื่อรถผมเข้าไปใกล้ ก็มองเห็นเป็นสะพานไม้ข้ามคลองกว้างพอสมควร ผมจึงจอดรถข้างทางแล้วก็เดินมองดูและชะโงกดูข้างล่าง เห็นรถยนต์คันหนึ่งตกลงไปอยู่ข้างล่างในห้วยตอนท้ายยับยู่ยี่ ผมก็นึกสงสัยทำไมรถคันนี้ไม่เอาหัวลงกลับเอาท้ายไปกระแทกกับเสาสะพานตอหม้อ ผมเห็นรถคันนั้นทำให้ผมตื่นเต้นตกใจมาก เพราะจำได้ว่ารถคันนี้วิ่งออกหน้าผมตอนผมกำลังซื้อปลาช่อนกับชาวบ้าน ผมรีบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์เพราะอยากรู้ว่า คนในรถมีบาดเจ็บสาหัสตายบ้างหรือเปล่า

ชาวบ้านที่ผมถามรู้สึกว่าจะ เป็นผู้อาวุโสในหมู่คนเหล่านั้นบอกว่า “ในรถมี ๓ คน แต่บาดเจ็บสาหัสทุกคน หัวแตกแขนหักไปตามกัน” ผมถามต่อไปว่า “คนเหล่านี้เป็นใครมีคนรู้จักไหม มาจากไหน” ชายสูงอายุผู้หนึ่งตอบว่า “พวกชาวบ้านไม่มีใครรู้จักมาก่อนหรอกครับ เพียงแต่เคยเห็นว่า พวกนี้เคยมาเที่ยวยิงนกเสมอแถวนี้นกเขาชุม รถที่ตกก็ยังมีนกเขาถูกยิงอยู่เป็นพวกและมีปืนแฝดอยู่ในรถ” ผมถาม ว่า “แล้วคนเจ็บไปไหนหมด ใครช่วย เห็นแต่รอยเลือดหยด” ชายผู้นั้นตอบว่า “พอสะพานหักรถตกลงก็พอดีมีรถสวนมาเข้าเมืองจอดชะลออยู่ริมฝั่งสะพาน เมื่อเห็นรถควงท้ายลงไปต่างก็ตกใจ รีบพากันลงจากรถไต่สะพานไม้ที่หัวลงไปช่วยคนเจ็บออกมา พร้อมทั้งชาวบ้านช่วยกันอุ้มแล้วเห็นว่าจะเป็นคนรู้จักกันมาก่อน เห็นเรียกชื่อ เขย่าตัวเพราะต่างก็สลบหมดสติไปตามกัน” “เมื่อสะพาน ไม้พังไปแล้วจะข้าม ไปไม่ได้ รถคันนั้นก็วกรถกลับหลังทั้งนำเอาคนป่วยใส่รถรีบขับไป คงจะไปที่อนามัยอำเภอ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่” ชายผู้นั้นพูดแล้วก็ถอนใจว่า “รถโดยสารเขาก็เคยวิ่งกัน น้ำหนักมากกว่านี้ยังไม่หัก จำเพราะมาหักเอารถคันนี้” ผมจึงบอกว่า “สะพานไม้นี้สร้างมานานแล้วและไม่ค่อยมีคนดูแล จึงเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้น สะพานมันจะพังอยู่แล้วก็พอดีรถคันนี้มารับเคราะห์ก่อน”

ผมพูดแล้ว ก็ลาผู้เฒ่าและชาวบ้านที่ได้สนทนาด้วยมาขึ้นรถ กลับรถวิ่งเข้าจังหวัด จิตใจผมสั่นเต้นตึกตักหัวใจหดหู่ เคราะห์ผมยังดีที่รถคันนั้นรับเคราะห์แทนผม หากผมไม่หยุดรถขอซื้อปลาชาวบ้าน เคราะห์กรรมอันนี้คงจะเกิดขึ้นแก่ผมแน่ เมื่อผมผ่านบึงที่ผมปล่อยปลาช่อน ผมก็สะอึกสะอื้นอยู่ภายในแล้วก็อดรำพึงไม่ได้ว่า เจ้าช่อนเอ๊ย ไม่แต่ข้าจะช่วยชีวิตเจ้าแต่ฝ่ายเดียว แต่เจ้าก็ยังได้ช่วยชีวิตข้าเป็นการตอบแทนด้วย ข้าจะไม่ลืมเรื่องนี้ไปตลอดชาติ การสร้างกรรมดีเพียงแต่เล็กน้อย ซึ่งมองเห็นว่าไม่เป็นสิ่งสลักสำคัญอะไร แต่บางครั้งก็ได้รับผลตอบแทนอย่างสูงค่าซึ่งเปรียบเทียบกันไม่ได้ หากทางโลกก็จะพูดว่าเหตุบังเอิญ แต่เมื่อพูดถึงหลักธรรมแล้วไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่ผลของกรรมดีและกรรมชั่ว ที่จะตามสนองตามกฎแห่งกรรม เหตุการณ์เช่นนี้ย่อมจะเกิดขึ้นได้เสมอ สำหรับผู้สร้างกรรมดี ซึ่งตรงข้ามกับผู้สร้างกรรมชั่ว ย่อมจะได้รับผลเช่นเดียวกันแต่ตรงกันข้าม .

**********   **********   **********

2.เรื่องของกรรม
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓





ครั้ง เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยเด็ก ได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่พูดกันเสมอถึงคำว่า “กรรม” เช่นสมัยก่อนเมื่อทราบว่า คนที่รู้จักชอบพอกันเป็นโรคฝีในท้องหรือวัณโรค ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า “กรรมของเขา” หรือพวกลูกหลานไปติดฝิ่นหรือยาเสพติด เช่น กัญชาจนเสียผู้เสียคน ผู้ใหญ่ก็มักจะชอบพูดว่า “กรรมของมัน” ถ้ามีลูกหลานไปทำผิด มีผู้มาบอก ญาติผู้ใหญ่มักจะโวยวายโทษว่า “กรรมแล้วๆ ๆ” และได้ยินเรื่องกรรมเสมอตลอดมาจนชินหู ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคำ ว่า “กรรม” เป็นเรื่องที่ชั่วร้ายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เมื่อพูดถึงคำว่า “กรรม” คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นเสนียดจัญไร เป็นของชั่วช้ามีแต่ให้โทษไม่มีอะไรให้คุณ คิดว่าทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้มีผู้ที่เข้าใจว่าชั่วร้ายยังมีไม่น้อย เพราะมีอะไรไม่ดีขึ้นก็มักจะโทษกรรม แต่เมื่อข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง และได้พิจารณาหาเหตุผล มีความรู้สึกคำว่า “กรรม” นั้นเป็นคำกลางๆ เพราะหมายถึง กระทำหรือทำ ไม่ใช่เป็นคำชั่วร้ายอย่างที่เข้าใจ นอกจากจะมีคำนำหน้าหรือพ่วง หลัง เช่น ผู้สร้างความดี มีจิตใจเมตตาปรานี ทำบุญให้ทาน ปฏิบัติตนอยู่ในศีล ๕ ก็เรียกว่า “กุศลกรรม” หมายถึง ผู้สร้างความดีเป็นบารมี หากผู้สร้างความชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์หรือฆ่าตัวเองก็ดี หรือเป็นโจรผู้ร้ายลักขโมยหรือชอบเป็นชู้กับเมียของผู้คนที่เจ้าของหวงเจ้า ของรัก หรือพูดจาส่อเสียดยุยงในเรื่องไม่เป็นความจริง ให้คนแตกสามัคคีเกิดเสียหาย หรือเมาสุราอาละวาดก่อกวนให้สังคมเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้ผิดในศีลห้าข้อ เป็นการผิดในศีลธรรมก็เรียกว่า “อกุศลกรรม” ฉะนั้น เราได้พิจารณาคำว่า กรรม ก็หมายถึง เพียงการกระทำหรือทำ หากเราทำความดีก็เรียกว่า “กรรมดี” หากเราทำความชั่วก็เรียกได้ว่า “กรรมชั่ว” เพียงตัวอย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่า คำว่ากรรมนั้นมีความหมายว่าทำหรือกระทำ เป็นคำกลางเมื่อผสมกับความดีหรือความชั่วได้ทั้งสองอย่าง ไม่ได้หมายถึงความชั่วดังที่ข้าพเจ้าเคยนึกคิดแต่เดิม เมื่อได้คิด พิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปอีก ก็คิดว่าคำว่ากรรมนั้นจะมาใช้แทนคำว่า ”ทำ” หรือ “กระทำ” ก็ไม่ได้ เพราะคำว่ากรรมนั้นเป็นการกระทำที่หนัก คล้ายกับว่ากรรมนั้นเป็นคำที่ผู้ใดได้สร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วขึ้นแล้ว ผลก็จะตามสนองไม่ช้าก็เร็วไม่มีใครหนีพ้น ฉะนั้นกรรมนี้จึงใช้แต่บางกรณีเท่านั้น เป็นความรู้สึกในเรื่องกรรมเช่นนี้จะผิดหรือถูกนั้น ข้าพเจ้าขอ อภัยด้วย หากว่าไม่ตรงกับความรู้สึกของท่านผู้ใด ในเรื่องกรรมดีกรรมชั่วข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองมาแล้ว และประสบกับผู้อื่นที่เชื่อถือได้ ทั้งได้เคยเขียนและยังไม่เคยเขียน ข้าพเจ้าจึงขอรวมทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไว้ในที่นี้ เพื่อท่านจะได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคนี้แล้ว

บ่าย วันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งเขียนหนังสือเพลินอยู่ในที่ทำงาน บังเอิญยังไม่กลับบ้าน ตามปกติข้าพเจ้ากลับบ้านตอนบ่าย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นท่านผู้หนึ่งเดินเข้ามาในที่ทำงาน และเดินตรงมาหาข้าพเจ้า เมื่อเห็นหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อข้าพเจ้าได้เชิญให้นั่งเรียบร้อย ท่านผู้นั้นเห็นข้าพเจ้างงๆ อยู่ก็ถามขึ้นว่า “จำผมได้ไหม” ข้าพเจ้าก็ตอบอ้อมแอ้มไปว่า “จำได้แต่นึกชื่อไม่ออก” ท่านผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมชื่อ......... ไงล่ะจำได้ไหม” ข้าพเจ้าก็ตะลึงขึ้นมาทันทีแล้วพูดออกมาลอยๆ ว่า “คุณ......... จริงหรือ” ข้าพเจ้าพูดขึ้นด้วยไม่แน่ใจ เพราะชื่อนี้กับข้าพเจ้าคุ้นเคยกันมาแต่เด็กๆ และเราเคยร่วมเรียนโรงเรียนเดียวกันมา ครั้งหลังท่านผู้นี้นอนป่วย อยู่โรงพยาบาล ข้าพเจ้าไปเยี่ยมหลายครั้ง เห็นมีอาการหอบรูปร่างผอมแก้มตอบ อาหารกินไม่ได้ต้องให้น้ำเกลือ ต่อมาครั้งหลังเห็นมีอาการหนักหอบถี่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เศร้าใจ หมอเห็นว่าถ้าปล่อยให้คนมาเยี่ยมไข้กันมากคนนั้น ย่อมจะทำให้คนไข้ขาดการพักผ่อน อาการอาจทรุดหนักลงได้เพราะต้องพูดต้องตอบคำถาม ทั้งที่ร่างการ อ่อนเพลียต้องการพักผ่อน คนเยี่ยมส่วนมากไม่ได้นึกถึงข้อนี้ เมื่อทราบว่าหมอห้ามเยี่ยมก็คิดว่าอาการไม่น้อย เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมเห็นอาการครั้งหลังก่อนหมอห้ามเยี่ยม ก็เห็นอาการหนักอย่างน่าเศร้าใจ แม้ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเยี่ยม แต่จิตใจก็ระลึกถึงภาวนาอยากให้หายเพราะเพื่อนรุ่นเก่าๆ นับวันจะน้อยลง บัดนี้ มีท่านผู้หนึ่งมีสภาพที่ปกติแข็งแรงไม่ผอมแห้ง ตรงข้ามกับเพื่อนที่ข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลครั้งหลัง ซึ่งยังเข้าใจว่านอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงงง เพราะไม่ได้นึกฝันว่าจะได้พบจึงคิดข้ามเลยไปไม่ได้ แต่เมื่อได้ทราบว่าท่านได้หายป่วยปกติแล้ว ก็มีความปิติยินดี เมื่อ เข้าใจกันดีแล้ว ท่านผู้นั้นก็หัวเราะและพูดว่า ผมอยากจะมาเล่าเหตุการณ์ที่ผมหายป่วยเป็นเรื่องพิสดารให้คุณฟัง ตอนอยู่โรงพยาบาลเมื่อคุณไปเยี่ยมนั่น เป็นเวลาผมอาการหนักมาก มีแต่ทรงกับทรุด ผมต้องนั่งหลังโก่ง อ้าปากหอบ จะนอนก็นอนไม่ได้แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ต้องนั่งทรมานเอามือ ๒ ข้างกดยันถ่างไว้ข้างหน้า นั่งหลังงอเป็นกุ้ง หอบฮักๆ ผงกหัวขึ้นลง ขณะที่หายใจเข้าออกน้ำมูกน้ำลายไหลออกทางปากทางจมูก เหนื่อยแทบขาดใจ ทำให้ผมนึกถึงตัวว่าบาปกรรมอันใดที่ผมได้ทำไว้ ถึงต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเช่นนี้ ผมไม่เคยสร้างกรรมชั่วเลย เมื่อ เห็นสภาพตัวเองเวลานั้น ผมหมดอาลัยในชีวิต นึกอิจฉาคนที่ไม่ป่วยไข้ กินอะไรกินได้ ไปเที่ยวไหนเที่ยวได้ ส่วนผมต้องทรมานอยู่ในโรงพยาบาล กินก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ได้เป็นแรมปี ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่แล้วเห็นจะหมดเวร ทำให้ผมเกิดระลึกนึกถึงหมาตัวหนึ่งได้ว่า เวลานี้ผมมีสภาพเหมือนหมาตัวนั้น ผมมีหมาตัวหนึ่งเรียกชื่อมันว่า “อ้ายหมี” มันเป็นหมาดำปลอด ตลอดทั้งลิ้นก็ดำ มันเคยตบงูเล่นได้ไม่กลัว ความจริงผมก็รักอ้ายหมีมาก มันประจบก็เก่ง เราอยู่สวนก็จำเป็นต้องมีหมาดุๆ เพื่อไว้เฝ้าสวนและเฝ้าผลไม้ในสวน ผมจำได้ว่า ครั้งนั้นเป็นฤดูทุเรียนและส้ม ตอนเย็นเราจึงตัดทุเรียนและส้ม ผลไม้อื่น ที่มีในสวนมาไว้ในบ้าน ตอนเช้ามืดก็จะมีคนมาขนไปใส่รถนำไปขายเชิงสะพานเหล็ก ริมคลองมหาพฤฒาราม มีคนมารับเอาไปเป็นประจำทุกเช้า แต่เช้าวันหนึ่งคนที่มากำลังก้มลงหยิบตะกร้าใส่ผลไม้ เจ้าหมีเกิดคะนองอย่างไรก็ไม่รู้ มันกระโดดเข้ากัดหัวไหล่ ทั้งที่ผู้นั้นเคยมาเอาของยกขึ้นรถเป็นประจำทุกเช้า ทำให้ผมโมโหโกรธมาก ที่มันไม่รู้จักจำคนไปกัดเขาไม่รู้จักคุ้นบ้างเลย ผมเลยจับปลอกคอลากตัวมันลงมาที่คลองข้างสวน จับหัวมันกดลงไปใต้น้ำสักพักหนึ่ง ทำโทษเพื่อจะให้มันรู้จะได้เข็ด ทีหลังจะได้ไม่กัดคนที่เข้ามาในบ้านเพื่อนำผลไม้ขึ้นรถไปขาย ผมทำเพื่อสั่งสอนให้มันรู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษมันรุนแรงเกินไปหรอก มันพยายามดิ้นทุรนทุราย ตะเกียกตะกายหนีพักหนึ่ง ผมก็ดึงหัวมันขึ้นพ้นน้ำปล่อยมันลงที่พื้นดิน เห็นมันอ้าปากหอบซี่โครงบานพองขึ้นยุบลง มันยังอุตส่าห์นั่งถ่างขา หัวสั่น น้ำลายไหลทางจมูกย้อยลงบนพื้นดิน เหลือบตาขึ้นมองดูผม

เห็นแล้วผม ก็นึกสงสารขึ้นมา คิดว่าเราไม่ควรมือหนักกดน้ำมันนานเกินไปจนอาการเช่นนี้ ถ้าช้ามันคงขาดใจตาย คิดว่ามันนั่งถ่างขาหอบได้มันคงไม่ตายไม่ช้ามันคงหาย แล้วผมก็ไปทำงานอื่นไม่อยากเห็นสภาพที่น่าสงสาร ให้เวลาพักผ่อนเท่านั้นก็จะช่วยให้มันหายเป็นปกติได้ ตอนเย็น ผมกลับไปดูมันในสวนอีก คราวนี้มันหายจริงๆ มันหายไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าอ้ายหมีมันหายแล้ว มันหนีไปไหนค้นหาเท่าไร่ก็ไม่เห็น พยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ บัดนี้นับสิบๆ ปีผ่านมาแล้ว มาคราวนี้ ผมหอบพิจารณาดูตัวเองแล้ว มีสภาพเหมือนอ้ายหมีหมาของผมที่ถูกกดน้ำเมื่อถึงหัวมาพ้นน้ำ กิริยาท่าทางเหมือนกัน ผิดแต่ว่าผมเป็นคนมันเป็นหมา ผมก็นึกได้ว่ากรรมชั่วที่ทำกับอ้ายหมีได้ตามมาสนองถึงผมแล้ว ผมนั่งยันมือสองข้างหอบ น้ำมูกน้ำลายไหล มันเป็นท่าทางของอ้ายหมี ตอนมันเหลือบตาขึ้นดูผมเหมือนมันจะแค้น ผมจึงแน่ใจว่าอกุศลธรรมที่ทำกับอ้ายหมีแน่ไม่มีข้อสงสัย ผมจึงได้ ตั้งสติ ตั้งใจทั้งกำลังป่วยหนัก อธิษฐานใจว่า อ้ายหมีเอ๋ยถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าขอโทษที่ทำรุนแรงกับเอ็งครั้งนั้นโดยไม่ได้เจตนา อย่าจองเวรจองกรรมกับข้าเลย ถ้าเอ็งตายไปแล้วข้าก็ขอทำบุญสร้างกุศลอุทิศไปให้เอ็ง ขอให้มีความสุข สัญชาติของเอ็งก็เป็นที่รู้กันว่ามีความกตัญญู จงอย่าก่อกรรมจองเวรเลย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำกับเอ็งรุนแรงถึงเพียงนั้น ถ้าเอ็งยังไม่ตายมีชีวิตอยู่แห่งใด ก็ขอจงอโหสิกรรมให้ข้าเถิด ขออย่าให้โรคนี้ทรมานข้าต่อไปเลย ข้าขอรับผิดและขอขมาเอ็งด้วย อธิษฐาน จิตเท่าที่ผมนึกได้ในเวลานั้นแล้ว ผมก็แผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตาให้ว่า บุญกุศลใดที่ผมได้สร้างไว้ขออุทิศสส่วนกุศลนั้นให้อ้ายหมีหมาที่ผมเลี้ยงแต่ ก่อนจงมารับกุศลในบัดนี้ด้วย ต่อมาอาการของผมก็ค่อยทุเลาขึ้นนับว่ามหัศจรรย์ มันเป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน นับแต่วันที่ผมได้อธิษฐานจิตแผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตถึงเจ้าหมี ต่อมาอาการของผมก็ดีขึ้นตามลำดับ ผมไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน และผมหายจึงได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้อีกและจึงได้มาหาคุณ ทำให้คุณงงและแปลกใจคงไม่นึกว่าเป็นผม ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องแปลกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ผลแห่งกรรมแต่เป็นอกุศลกรรม จึงเกิดผลร้ายตามสนอง ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นตามคำบอกเล่าที่ได้สนทนามาแล้ว บัดนี้ท่านผู้นี้ได้หายจากไข้ที่ทรมาน และได้มานั่งเล่าเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านผู้นี้เคยสร้างกุศลไว้มากเท่าที่ข้าพเจ้าทราบมีไม่น้อย และที่ข้าพเจ้าไม่ทราบก็มีอีกมาก บริจาคเป็นทุนให้ทางโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน และสมทบเงินสร้างโรงเรียน บริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาล เป็นต้น นับว่าเป็นกรรมดี ทราบว่านอกจากนั้น ก็ยังคงเป็นหมอดูหรือผูกดวงทำนายโชคชะตาอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องการค่าตอบแทน เมื่อครั้งป่วยอยู่โรงพยาบาลก็ยังมีผู้สนใจไปเยี่ยมๆ มองๆ คอยหาโอกาสที่จะไปขอให้ดูโชคชะตา ทั้งที่หมอห้ามเยี่ยม บัดนี้ หายจากการป่วยอย่างอภินิหาร จึงขอร้องท่านว่า ข้าพเจ้าอยากจะเขียนเรื่องนี้เข้าในชุด “กฎแห่งกรรม” แต่อยากจะขอลงนามจริงจะขัดข้องหรือไม่ เรื่องเช่นนี้ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้วคงไม่เกิดความเสียหายอะไรกับท่านมาก นัก ท่านก็ยินดีบอกว่า “ออกชื่อผมได้เลยอนุญาต ข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณท่านมาในที่นี้ด้วย คิดว่าเรื่องนี้คงจะมีประโยชน์แก่ท่านผู้ได้อ่านบ้าง ท่านผู้นั้นคือ คุณทองหล่อ นิยมาภา อดีตสมาชิกสภาจังหวัดพระนคร และอดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพฯ เมื่อได้พูดถึงอกุศลกรรมมาแล้ว แม้ว่าการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลก็ได้รับทันในชาตินี้ ถ้าจะนับว่าเป็นกรรมชั่วเห็นผลช้าที่เบาจึงให้ผลเร็ว หากว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักก็คงจะเห็นผลช้า คราวนี้เรามาพิจารณาดูผลแห่งกรรมดีกันบ้าง เพราะบังเอิญคุณประสิทธิ์ได้นำเอาบันทึกมาให้ข้าพเจ้า บอกว่ามีผู้บันทึกฝากมาจากจังหวัดชลบุรี ข้าพเจ้าก็ได้นำบันทึกฉบับนั้นมาพิจารณาดู เห็นว่าเป็นเรื่องของกรรมดีคู่กับเรื่องกรรมชั่ว จึงได้เขียนขึ้นเพื่อท่านจะได้พิจารณาดูด้วยปัญญาว่า สิ่งลี้ลับที่ตามสนองนั้น มีทั้งกรรมดีกรรมชั่วดังที่มีผู้บันทึกต่อไปนี้

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ผมได้ขึ้นไปหาคุณแม่ที่ต่างจังหวัด เวลานั้นท่านรับราชการเป็นครูใหญ่อยู่ที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดตาก เมื่อมีคำสั่งเป็นทางการให้ย้ายเข้าประจำกระทรวงศึกษาธิการ ผมจึงขึ้นไปเพื่อชวนคุณแม่ จัดของใช้ เครื่องใช้ประจำบ้านของคุณแม่มีไม่น้อย จึงบรรจุเข้าหีบห่อเตรียมจัดส่งเข้ากรุงเทพฯ ตามปกติผมเป็นผู้มีนิสัยชินที่ต้องหาขนมหวานกินตอนกลางคืน เพราะผมอยู่ชลบุรี กลางคืนก่อนนอนต้องหาขนมหวานกินจนเคยตัวเสียแล้ว คืน นั้นประมาณสองทุ่ม ผมเตรียมตัวจะออกจากบ้านไปตลาดเพื่อซื้อขนมกินตามนิสัยเคย ผมติดไฟฉายไปด้วย คืนนั้นเป็นคืนข้างขึ้นอ่อนๆ ทางก็ไม่สู้จะมืดนักพอ แลเห็นสิ่งหยาบๆ ได้ไกลๆ เมื่อผมลงจากบ้านพอเดินมาถึงประตูนอก จะเปิดออกไปถนน ผมกำลังจะเอื้อมมือไปถอดกลอนไม้ก่อนที่มือจะถึง ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงกระซิบเตือนว่า หยุดก่อน อย่าเปิด ระวังงู ทำให้ผมสะดุ้งชะงัก มือที่กำลังจะเอื้อมไปถอดกลอนประตูออก ก็หดมือทันที ผมได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำเป็นเสียงประหลาด เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว รีบหยิบไฟฉายเปิดส่องดูที่กลอนประตู ซึ่งเป็นกลอนประตูแบบโบราณใช้ไม้เป็นสลักแบนๆ เมื่อไฟส่องไปก็มองเห็นดวงตางูทั้งคู่แวววาวเมื่อถูกกับแสงไฟฉาย ผมก็ตื่นเต้นตกใจ สีงูกับสีไม้เก่าๆ มันกลืนกัน แทบจะเป็นสีเดียว หากช้านิดเดียวเอามือไปถอดกลอน ผมก็ถูกงูฉกกัดมือแน่ไม่มีปัญหา โลกนี้มีสิ่งอะไรลึกลับที่คอยเตือนระวังภัยให้เรา มันเป็นเรื่องที่แปลกผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นมาจากไหนได้ช่วยชีวิต ผมได้ทันเวลา งูตัวนั้นขดพันอยู่บนกลอนประตูไม้ เมื่อถูกแสงไฟฉายส่องออกไป งูก็ผงกหัวชูคอขึ้นส่ายหัวไปมา แล้วก็ค่อยๆ คลายตัวที่ขดอยู่เลื้อยหายไปในกอหญ้า นึกว่างูก็กลัวคนถ้าไม่เหยียบหรือจับต้องตัวก็ไม่ทำอันตรายเรา ทำให้ผมนึกถึงก่อนหน้าประมาณหนึ่งปีกว่า ผมได้เดินทางขึ้นมาจังหวัดตากเพื่อเยี่ยมคุณแม่เป็นครั้งแรก เที่ยวตามถนนทุกแห่งเพราะใหม่ต่อสถานที่ ผมพักอยู่กับคุณแม่ที่บ้านพักประมาณ ๗ วัน ก่อนจะกลับบ้านจังหวัดชลบุรี ผมเที่ยวชมทิวทัศน์ในเมืองแบบทั่วทุกถนน สุดบ้านเหนือบ้านใต้ลอดถนนริมแม่น้ำปิงเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งนี้ได้อาศัยจักรยานของภารโรงประจำโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดได้กรุณาให้ ผมยืม ผมจึงได้ออกไปทางห่างจากตัวจังหวัดเป็นถนนยังไม่เรียบร้อยมีทรายปนดิน การถีบจักรยานก็หนักแรงไม่ค่อยจะวิ่ง แต่ทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามมาก ถนนควบคู่กันไปกับลำน้ำปิงทำให้เพลิดเพลิน ผมต้องใช้กำลังถีบมาก ขึ้นเมื่อมาถึงตำบลไม้งาม เป็นหมู่บ้านแต่ก็มีสินค้า และมีโรงหนัง มีโรงงานทำครั่งเป็นอุตสาหกรรมที่ขึ้นหน้าของตำบลไม้งาม การเลี้ยงครั่ง มีโรงรับซื้อครั่งดิบ มีที่ล้างครั่ง มีลานตากครั่งให้แห้ง ผมยังไม่เคยรู้เคยเห็นก็แปลกและสนใจ ผมต้องถีบจักรยานตามทางที่กันดาร ซ้ำถนนก็เป็นทรายปนดินทำให้เกิดกระหายน้ำ เพราะระยะทางจากในเมืองมาถึงตำบลไม้งามนี้ยาว ๗ กิโลเมตร จึงเลี้ยวรถเข้าหยุดพักที่หน้าโรงหนัง รู้สึกว่าจะฉายชั่วครึ่งชั่วคราว ผมสั่งน้ำหวานใส่น้ำแข็งมา ๑ แก้ว กำลังนั่งดื่มด้วยความกระหาย มองไปเห็นคนจับกลุ่มกันอยู่ข้างถนน ก็นึกว่าคงมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นแต่คงไม่ใช่คนถูกรถชน เพราะรู้สึกว่าไม่มีรถผ่านไปมาเลย แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยสนใจ แต่เมื่อดื่มน้ำหวานเข้าไปได้ครึ่งแก้วรู้สึกแก้กระหายและสบายใจขึ้นหาย เหนื่อย เมื่อได้นั่งพัก จึงถามเจ้าของร้านเครื่องดื่มว่า “คนเขามุงดูอะไรกันนะครับ” หญิงเจ้าของร้านบอกว่า “เด็กถูกงูกัดค่ะ” ผมนึกสะดุ้งใจนึกเป็นทุกข์จึงถามว่า “ทำไมไม่รีบพาส่งโรงพยาบาลด่วน ประเดี๋ยวก็ไม่ทันก็จะตาย” หญิงเจ้าของร้านบอกว่า “เขาให้คนรีบไปตามพ่อแม่แล้วละค่ะ แต่ยังไม่เห็นมา” ผมชักไม่สบายใจเกิดเป็นห่วงเด็ก มัวคอยพ่อแม่เมื่อไรมาก็ไม่รู้ กลัวว่าจะไม่ทันถึงโรงพยาบาล ล่าช้าไปหมอก็ช่วยไม่ทัน นอนใจไม่ได้ เกิดทำให้ผมคิดถึงอกเขาอกเรา เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันซ้ำเป็นเด็กตาดำๆ จะปล่อยไว้ตามบุญตามกรรมกว่าพ่อแม่จะมาถึงเด็กคงตาย คิดแล้วผมก็เกิดความสงสารเด็กขึ้นมา รีบจ่ายค่าเครื่องดื่ม แล้วนึกในใจว่าเราควรจะช่วยเด็กให้พ้นอันตราย นึกดังนั้นแล้วผมรีบออกจากร้านเครื่องดื่ม ตรงเข้าไปที่หมู่ชนรีบแหวกคนที่มุงดูเข้าไปเห็น เด็กนอนบิดตัวไปมาหน้าบูดเบี้ยวอยู่กลางพื้นดินเหงื่อชุ่มตัวร้องว่า ปวด ปวดเหลือเกิน



ผมไม่รอช้ารีบประคองเด็กให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วให้เหยียดเท้าให้ตรงพิจารณาดู ถามว่าถูกกัดตรงไหน เด็กชี้ไปทางนิ้วเท้า เมื่อผมพิจารณาแล้วก็เห็นมีรอยเขี้ยว คนที่มุงดูคนหนึ่งบอกว่างูกะปะกัดเพราะตำบลนี้มีงูกะปะชุกชุม ผมก็รีบจัดการพยาบาลที่เคยศึกษาวิชาลูกเสือจากโรงเรียนนำมาออกใช้เวลาคับขัน โดยถอดเข็มขัดของเด็กออกรัดโคนขาจนแน่น และพยายามรีดปากแผลให้เลือดมันออก ผมบอกว่าทนหนูเจ็บหน่อยนะทนเจ็บจะได้หาย ผมนึกว่าทางที่ดีที่สุดรีบส่งโรงพยาบาลด่วน แต่แถวนั้นมองดูแล้ว ไม่มีพาหนะอะไรที่จะส่งเด็กไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วได้ ผมร้อนใจมาก มีความสงสารเอ็นดูเด็กเป็นทุน เกิดห่วงกังวลว่าจะนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน คิดว่าไม่มีทางอื่นจะดีกว่าต้องนำเด็กขึ้นจักรยานไปกับผม ต้องรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด เพราะไม่มีทางใดจะเร็วและดีกว่านี้ ผมไม่สนใจว่าพ่อแม่เขาจะมาหรือไม่ ผมรีบพยุงเด็กขึ้นนั่งคร่อมข้างหน้ารถจักรยาน แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดลำบากไม่ใช่เล่น แต่ผมก็พยายามอย่างทุลักทุเล และมีคนในกลุ่มนั้นใจดีช่วยพยุง และบางคนก็แก้ผ้าขาวม้าจากเอวส่งให้ผมให้ผูกกันเด็กตก ผมจึงผูกเด็กไว้กับตัวถังรถกันตกหลายรอบชาวบ้านต่างก็พากันช่วย แล้วผมก็ปลอบใจเด็กว่าจะนำไปรักษาที่โรงพยาบาล ให้เด็กพยายามแข็งใจไว้ประเดี๋ยวก็ถึง ผมพยายามให้กำลังใจเด็กตลอดเวลา วัน นั้นนับว่าเป็นบุญกุศลของผมและเด็ก ไม่รู้ว่าผมเอากำลังที่ไหนมาถีบจักรยาน เร่งเวลากลับเข้าเมือง นำเด็กไปส่งถึงโรงพยาบาลได้เร็วอย่างน่าแปลกใจ ถ้าเวลาปกติผมคงเหนื่อยแทบขาดใจ ทั้งที่ถนนไม่ดีเป็นทรายปนดินหนักแรงกว่าถนนธรรมดาสองเท่ากลัวยางจะแตก แต่ก็มาได้อย่างปลอดภัย เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผมก็รีบแก้ผ้าขาวม้าที่ผูกเด็กไว้ รีบอุ้มแทบจะวิ่งตรงเข้าไปหานายแพทย์เวรคิดว่าหมอเท่านั้นที่จะช่วยได้ เวลานั้นเห็นหมอเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา ผมรีบบอกหมอว่าเด็กถูกงูกะปะกัด พูดไม่กี่คำหมอก็รีบมาตรวจดูแผลที่ถูกงูกัด แล้วก็รีบจัดยามาฉีดทันทีไม่รอให้เสียเวลา เมื่อหมอฉีดยาแล้วผมก็ถามหมอว่า “ผมมาทันเวลาไหมครับหมอ เด็กจะหายไหม” หมอบอกว่า “เห็นจะไม่เป็นอะไรมากนัก หากมาช้ากว่านี้สัก ๕ นาที ผมก็ไม่รับรอง” ผม ได้ยินหมอพูดเช่นนั้นก็โล่งอกสบายใจขึ้น เพราะผมกลัวจะมาไม่ทัน ผมเป็นห่วงวิตกกังวลกลัวมาตลอดทางว่าจะไม่ทันเวลา เมื่อหมอบอกเช่นนั้นผมก็ดีใจที่ได้ช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ หมอถามถึงชื่อเด็ก อายุของเด็ก ตำบลที่อยู่ ชื่อพ่อชื่อแม่ ผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้น ผมไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน เห็นถูกงูกัดนอนอยู่ข้างถนน พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมก็สงสารจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลหมอบอกว่าดีแล้ว เป็นบุญของเด็กที่พบผู้ที่มีมนุษยธรรม ผมเองก็รอดูอาการของเด็กหลังจากฉีดยาแล้ว เพราะยังลุกไม่ไหว ต้องคอยให้ยาดมไว้ ผมเห็นอาการของเด็กค่อยๆ ดีขึ้น ประมาณชั่วโมงกว่าก็ยังไม่เห็นญาติพี่น้องพ่อแม่ของเด็กติดตามมา ผมก็เลยบอกกับหมอว่า เมื่อเด็กปลอดภัยแล้วผมก็จะกลับ กำลังจะลาหมอกลับ ก็พอดีที่พ่อแม่ของเด็กมาถึงโรงพยาบาล และแสดงความขอบอกขอบใจผมที่ได้ช่วยให้ลูกชายของแกพ้นอันตรายมาได้ ทั้งเด็กพอเห็นหน้าพ่อแม่ก็มีกำลังใจขึ้น พูดได้แต่ยังไม่มีกำลังลุกขึ้นยืน แต่ก็พยายามยกมือขึ้นไหว้และกล่าวคำขอบคุณผม เมื่อผมได้บอกลา และออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านพักด้วยความภูมิใจ ว่าผมได้ทำหน้าที่พลเมืองดี และสร้างกุศลกรรมทำให้ผมเกิดความสุขขึ้นทางใจ นึกชื่นใจในตัวเองที่สร้างกรรมดี เป็นความรู้สึกที่หายาก แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองก็ซื้อไม่ได้

นี่แหละครับเหตุการณ์ที่ผม ได้ผจญมาในครั้งนั้น จะไม่มีวันลืมเลยในชีวิต แม้ผมจะไม่แน่ใจแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้สร้างกรรมดี เมื่อถึงคราวอับจนแล้ว ย่อมจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหารเกิดขึ้นคอยปัดเป่าช่วยเหลือตอบแทน ไม่ให้เป็นอันตรายอย่างไม่นึกไม่ฝัน อย่างในเรื่องในชีวิตของผมได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว ผมได้ช่วยเหลือเด็กที่ผมเอ็นดูสงสาร ให้พ้นจากการตายเพราะถูกงูกัด และผมได้รอดพ้นจากงูกัดด้วยเสียงเตือนอันลึกลับ เป็นอภินิหารเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้า ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็อยากจะพูดว่า นี่เป็นเรื่องหนึ่งของผู้ประกอบกรรมดีที่เราจะพิสูจน์ไม่ได้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ขออนุญาตเพื่อนำนามจริงของท่านเจ้าของเรื่องนี้ไว้ด้วย เมื่อท่านอนุญาตแล้ว จึงเรียนให้ทราบว่าท่านผู้นี้คือ คุณสุรโชติ จุลศิริ และขอขอบคุณเจ้าของนามมาก ในการที่ได้กรุณาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป ข้าพเจ้าผู้เขียนและ ผู้เรียบเรียงเอง ก็ได้เคยพบประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองมาแล้วหลายเรื่อง ทั้งเคยเขียนมาแล้วและยังไม่ได้เขียน ฉะนั้นปัญหาว่าอภินิหารมีจริงหรือไม่ จึงไม่มีข้อสงสัยในความรู้สึกของข้าพเจ้า.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น