จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

ห้องการเมือง

เป็นห้องสนทนาการบ้านการเมือง มาแลกเปลี่ยนทัศนะคติกันได้ จะดุเด็ด เผ็ดร้อน ยังไง ก็มา เล่าสู่กันฟังได้ ไม่มี กบว.เซ็นต์เซอร์ เพราะการเมืองเป็นเรื่องของสาธารณะ แค่ยึดหลักแตกต่างทางความคิดแต่อย่าแตกแยกเท่านั้นเป็นพอ




แวะเยี่ยมห้องสนทนาการเมือง

บอร์ดการเมือง oknation
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด Democratic Thai
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด Internet Freedom
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด Internet Freedom (ชั่วคราว)
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด powerdmc
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด Thai People Voice
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด บ้านราชดำเนิน
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด ราชดำเนิน
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด อริน
บอร์ดการเมืองแดง - เว็บบอร์ด ไทยฟรีนิวส์
 

9 ความคิดเห็น:

  1. พูดถึงเรื่องการเมือง ก็คงเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีคนยึดติดกันอยู่คนละขั้วอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งความเข้าใจภายในภาพรวมทั้งหมดของคนในสังคมยุคปัจจุบัน มีอิทธิพลวัตถุและเงินเข้ามาครอบงำอย่างลึกซึ้ง จึงทำให้หาจุดเชื่อมโยงถึงซึ่งกันและกัน อีกทั้งมีรากฐานความเข้าใจร่วมกันได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างหากรู้ความจริงได้ว่ามีคนเป็นเหตุของการปฏิบัติ และในมุมกลับย่อมได้รับผลจากการกระทำของตนเป็นวัฏจักร อันเป็นกลไกในกระบวนการเรียนรู้

    ความแตกแยกระหว่างจิตใจคนในสังคมซึ่งควรมีรากฐานจิตใจเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันโดยถือความรักพื้นดินเป็นสื่อขั้นพื้นฐาน เนื่องจากความรู้ความเข้าใจที่มีรากฐานหยั่งลงสู่ด้านล่างร่วมกัน ช่วยให้ด้านบนมีความเจริญเติบโตได้อย่างมั่นคง จำต้องได้รับความแตกแยกหนักมากยิ่งขึ้น แม้ปากจะพูดว่ามีความรักสามัคคีกัน แต่ภายในรากฐานจิตใจก็ยังคงคิดและมองสิ่งต่างๆ แบบแยกส่วน อย่างที่กล่าวกันว่าคิดและมองเห็นสิ่งต่างๆ แบบตัวใครตัวมัน อีกทั้งมีการนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น จึงเกิดความโลภและริษยากันรุนแรงยิ่งขึ้น ประเด็นดังกล่าว หากมองเห็นได้ว่ามีผลสืบเนื่องมาจากรากฐานจิตใจที่ยึดติดอยู่กับด้านรูปแบบคงรู้ความจริงได้ว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยิ่งด้านร่างกายและพื้นฐานในด้านวัตถุเติบโตมากขึ้น รากฐานจิตใจก็ยิ่งปฏิเสธพื้นดิน ทำให้ใจแตกส่งผลทำลายความจริงซึ่งอยู่ในใจตัวเอง ทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัวมากยิ่งขึ้น

    ตอบลบ
  2. สิ่งที่ปรากฏเห็นได้ในประเด็นการเมือง หากพูดถึงคนผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คนส่วนใหญ่มักมุ่งมองข้ามตัวเองไปยังผู้ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎร หรือเป็นวุฒิสมาชิก ตลอดจนผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศซึ่งเป็นด้านรูปแบบอันถือว่าเป็นเพียงผลพวงทางการเมือง แทนที่จะมองเห็นความจริงจากใจตนเองซึ่งถือเอาการสำนึกในความรักพื้นดินร่วมกันเป็นพื้นฐาน ทำให้ภาพรวมในการบริหารและจัดการสังคมขาดความมั่นคงอีกทั้งเสี่ยงต่อการอยู่รอดเพิ่มมากยิ่งขึ้น

    คำกล่าวที่ว่าฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง บ้างก็กล่าวว่า ถ้าเราไม่ยุ่งกับการเมืองแต่การเมืองมันจะมายุ่งกับเรา ความประโยคนี้มักได้ยินกันเสมอๆ ถึงขนาดที่ว่า เมื่อมีการคิดรวมกลุ่มและต้องการจดทะเบียนเป็นองค์กรเพื่อร่วมกันประกอบอาชีพ เช่นสมาคมและกลุ่มต่างๆ มักเน้นข้อความติดตามมาว่า จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง นอกจากนั้นอีกด้านหนึ่งซึ่งมีอำนาจในการอนุญาต เมื่อเห็นข้อความประโยคนี้อยู่ในข้อเสนอมักปล่อยให้ผ่านไปได้โดยสะดวก สะท้อนให้เห็นว่าในกลุ่มอำนาจทางการเมืองที่ควบคุมเองก็มักมีความรู้สึกหวาดระแวงไปว่าอาจมีการรวมกลุ่มก่อความวุ่นวายทำให้พวกตนจำต้องเดือดร้อน แม้ในแวดวงซึ่งเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งนำมากล่าวอ้างว่า ประชาธิปไตยต้องมีความขัดแย้ง และต้องมีการรวมตัวกันประท้วงในสิ่งซึ่งตนและพรรคพวกไม่ได้รับผลประโยชน์ตามที่ปรารถนาเพื่อถ่วงดุลย์อำนาจ สภาพดังกล่าวทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่า ขั้วหนึ่งต้องการนำเอาการเมืองมาอ้างเพื่อให้ตนและพรรคพวกได้มาซึ่งสิ่งอันพึงปรารถนาของตัวเอง ส่วนอีกขั้วหนึ่งเกิดความรู้สึกว่าการเมืองคือเรื่องวุ่นวาย เพราะมีผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเกรงไปว่าตนและพรรคพวกจะสูญเสียผลประโยชน์

    ตอบลบ
  3. สิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากมองเห็นปัญหาซึ่งมีเหตุเกิดจากรากฐานจิตใจคนในสังคมย่อมรู้ความจริงได้ว่า ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ขาดการหวนกลับมาค้นหาความจริงจากใจตนเอง จึงขาดความรู้ความเข้าใจในรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่สานเหตุและผลถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ คนลืมตัวย่อมรังเกียจพื้นดินอันเป็นที่มาของชีวิตตนเอง ทำให้ความรู้ความเข้าใจ ซึ่งควรสานเหตุและผลถึงชีวิตเพื่อนมนุษย์ทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่างร่วมกันในกระบวนการสิ่งแวดล้อมของชีวิตตนเอง จำต้องขาดการหยั่งรู้ได้ถึงความจริง ทำให้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ขาดความรักความจริงใจต่อกัน หากกลับมีอีกด้านหนึ่งคือมุ่งจับจ้องที่จะฉกฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันหนักมากยิ่งขึ้น

    คนส่วนใหญ่ในยุคนี้มักสะท้อนให้เห็นถึงการนำตนเองไปเปรียบเทียบระหว่างกันและกันทำให้มีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันรุนแรงยิ่งขึ้น แทนที่จะมีรากฐานจิตใจอิสระและมั่นคงเข้มแข็งอยู่กับความจริงตนเอง ซึ่งถือเป็นศักดิ์ศรีสำคัญที่สุดของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมา แม้กระทั่งความจริงซึ่งอยู่ในบรรยากาศการจัดการศึกษาขณะนี้ ก็ยังสะท้อนภาพนี้ออกมาให้เห็นปัญหาลักษณะดังกล่าวได้ชัด
    หากแต่ละคนสามารถรู้และเข้าใจความหมายของการเมืองได้อย่างลึกซึ้ง แม้ไม่คิดอยากเข้าไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หากมีความมุ่งมั่นรักษาความซื่อสัตย์ในตนเองให้มั่นคงอยู่ได้อย่างเด่นชัด และทำงานทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นฐานความรักพื้นดินซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้ไว้ในจิตวิญญาณตนเอง ควรถือได้ว่าคือชีวิตซึ่งทำหน้าที่ทางการเมืองอย่างถึงพื้นฐานอันเป็นที่สุดแล้วส่วนการจะเข้าไปเป็นผู้แทนอยู่ในสภาหรือไม่ ควรเป็นเรื่องความรู้สึกจากธรรมชาติความรู้สึกของจิตใจเพื่อนมนุษย์ซึ่งอยู่ในสังคมเดียวกันกับตนมากกว่าการหลงตนจึงลืมถึงกับก้าวเข้าไปสมัครเองโดยหลอกลวงผู้อื่น ทำให้ชีวิตต้องเดินหลงทาง อย่างที่คนแต่ก่อนเคยกล่าวไว้ว่า แมลงเหม้าบินเข้ากองไฟ ดังจะเห็นได้ว่าตัวแล้วตัวเล่าต่างก็บินเข้าไปให้เปลวไฟไหม้ปีกจนชีวิตและจิตใจจำต้องวอดวาย แถมยังทำให้สังคมเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง

    ตอบลบ
  4. คนส่วนมากมักอ้างว่าเป็นหน้าที่ หากคิดไม่ออกว่าหน้าที่ควรปฏิบัติอยู่บนรากฐานความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซึ่งเริ่มต้นจากความสนใจเรียนรู้ความจริงจากความหลากหลายของเพื่อนมนุษย์อย่างลึกซึ้งโดยการใช้ชีวิตร่วมกับคนได้ทุกรูปแบบอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง เน้นความสำคัญลงสู่ด้านล่าง เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีควรมาก่อนสิ่งอื่น ไม่เพียงเท่านั้นหากยังควรรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีสองด้าน ด้านหนึ่งคือรากฐานซึ่งอยู่ในใจโดยที่ชีวิตตนเองมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องโดยตรง ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการเรียนรู้จากการปฏิบัติโดยมีเหตุและผลซึ่งตนเองรับเอาเข้าไปสะสมไว้ในใจ ย่อมช่วยให้สามารถรู้เท่าทันต่อผลซึ่งทำให้จิตใจตนเองจำต้องสูญเสียความเป็นคน อันควรมีโอกาสเติบโตยิ่งขึ้นอย่างผู้รู้รอบด้าน ดังที่คนยุคก่อนเคยสอนลูกหลานไว้ว่า จงสนใจเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างและควรคิดอย่างรอบคอบ หมายถึงรู้ด้วยความมีสติและเกิดปัญญาสามารถมองเห็นสิ่งที่เป็นวัตถุและมีรูปแบบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทำให้เกิดความเข้าใจถึงรากเหง้าของตนเองอย่างแท้จริง ดังที่หลักธรรมได้ชี้แนะไว้ว่า ไม่ควรกำหนดความสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่างไว้เป็นการล่วงหน้า เช่นจะต้องทำให้จบไปได้ภายในเท่านั้นเท่านี้ แต่ควรคิดว่าจะทำโดยถือความจริงจากใจและมุ่งมั่นทำอย่างดีที่สุด มีบางคนกล่าวว่า ความมุ่งมั่นเท่านั้นยังไม่พอ จำเป็นต้องมีการบริหารและการจัดการที่ดี ความจริงแล้วบุคคลผู้กล่าวเช่นนั้นย่อมเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเห็นและรู้ได้ว่าตนยังขาดรากฐานที่แท้จริง หมายถึงขาดการหยั่งรู้เหตุผลภายในกระบวนการชีวิตตนเอง ซึ่งมีการเชื่อมโยงถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด เพราะหากจิตใจบุคคลใดมุ่งมั่นอย่างแท้จริงย่อมรู้ได้ว่า ภายในภาพรวมของชีวิตมีทุกสิ่งทุกอย่างเชื่อมโยงถึงกันหมดอยู่แล้ว เพียงคิดทำงานจากใจจริงทำให้เกิดการเกิดการใช้ประโยชน์จากระบบการบริหารและการจัดการที่ดีได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องนำมากล่าวห้อยท้ายเอาไว้ ซึ่งเป็นเพราะยังไม่รู้จักตัวเองได้อย่างลึกซึ้งมากกว่า

    ความจริงได้ชี้ไว้ว่า หากสามารถรู้เหตุที่อยู่ในใจตนเองได้ถึงรากเหง้า ย่อมรู้ถึงสิ่งซึ่งมีผลเชื่อมโยงถึงกันได้หมดทุกเรื่องอยู่แล้ว ดังที่เคยพบความจริงว่า มีบางคนกล่าวว่า การพึ่งตนเองยังไม่พอ จำเป็นต้องพึ่งผู้อื่นด้วย สะท้อนให้เห็นว่าผู้พูดขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการพึ่งตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งมองข้ามความสำคัญของจิตใจไปเน้นความสำคัญที่ร่างกายซึ่งเป็นเพียงวัตถุ จึงทำให้ความเข้าใจสับสนโดยที่คิดเกรงไปว่าการพึ่งตนเองคือการอวดดี การปฏิบัติจึงไม่ยอมพึ่งใครทั้งหมด ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ที่มีรากฐานจิตใจพึ่งตนเองอย่างชัดเจนย่อมเห็นความสำคัญของผู้อื่นเหนือตนอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำมากล่าวไว้ ทำให้ผู้รู้สามารถอ่านใจผู้พูดได้อย่างถึงรากฐานจิตใจอันเป็นธรรมชาติของบุคคลผู้นั้น ความเห็นแก่ตัวของคนส่วนใหญ่ในสังคมย่อมได้ผู้นำที่มีความเห็นแก่ตัวร่วมด้วย แม้มองที่ผลพวงทางการเมืองหรืออื่นใดก็ตาม ย่อมนำไปผูกติดไว้กับรูปแบบ บุคคลเหล่านี้จึงมีแนวโน้มขาดความรักความจริงใจต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะด้านอย่างยิ่งซึ่งชีวิตยังด้อยกว่าตน การอ่านจิตใจคนใช่ว่าจะสามารถอ่านได้ยาก หากบุคคลผู้นั้นสามารถอ่านความจริงจากใจตนเองได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งมีการปฏิบัติที่ให้ความจริงใจแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง ย่อมรู้เท่าทันจิตใจผู้อื่นได้ไม่ยาก

    ตอบลบ
  5. จากสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด หากถือวิญญาณความรักแผ่นดินถิ่นเกิดเป็นพื้นฐานไว้อย่างมั่นคง อีกทั้งมีความซื่อสัตย์และความจริงใจต่อตนเองเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะเห็นความสำคัญของงานอาชีพซึ่งช่วยให้ตนมีโอกาสสัมผัสพื้นดินเป็นสิ่งสำคัญเหนืออาชีพอื่นใด และทำหน้าที่ดังกล่าวอย่างดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาชีพรูปแบบไหน ย่อมมีจิตใต้สำนึกที่เห็นความสำคัญของการเมืองและการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันได้หมด เพราะสังคมไทยในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่ขาดสิ่งดังกล่าว จึงยึดติดอยู่กับรูปแบบซึ่งอยู่ด้านบนมากกว่าที่จะนำจิตวิญญาณลงมาเห็นความสำคัญของด้านล่าง จึงมีการแบ่งแยกว่าการเมืองจำต้องมีรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้แยกตัวออกจากกันเป็นสองขั้ว แทนที่จะเชื่อมโยงจากรากฐานซึ่งอยู่ที่พื้นดิน อันเป็นที่ถือกำเนิดของชีวิตและจิตวิญญาณคนในสังคมรวมทั้งตนเองร่วมด้วย

    หากกลับไปยึดติดอยู่กับสิ่งซึ่งเป็นผลจากด้านล่างขึ้นไปสู่ด้านบน ทำให้สังคมยุคนี้เสี่ยงต่อการตกเป็นทาสของคนชาติอื่นซึ่งพยายามหาช่องโหว่แทรกแทรงเข้ามาครองแผ่นดินผืนนี้ดังที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นลำดับ สติคือรากฐานความมั่นคงทั้งของวิถีชีวิตแต่ละคน ร่วมกับวิถีการเปลี่ยนแปลงของสังคมที่จะมุ่งไปสู่อนาคตอันควรภูมิใจแก่คนในท้องถิ่นจนถึงลูกถึงหลาน อีกทั้งสืบสานจากด้านล่างขึ้นมาสู่ด้านบน และหวนกลับจากด้านบนลงไปสู่พื้นดินอย่างเป็นวัฏจักร ช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีความมั่นคงร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ การเมืองคือเรื่องของชีวิต จากรากฐานจิตใจอันเป็นสัจธรรม หากต้องการแก้ปัญหาการเมืองซึ่งกำลังหนักหน่วงยิ่งขึ้น เราแต่ละคนคงต้องพิจารณาตนเองเพื่อทำในสิ่งซึ่งตนรักที่จะทำอย่างดีที่สุด อีกทั้งมีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและแผ่นดินถิ่นเกิดอยู่ในจิตวิญญาณอย่างเป็นธรรมชาติ

    ตอบลบ
  6. เราได้เรียนรู้กันแล้วว่ามวลชนพื้นฐานของเสื้อแดงมาจากไหน ทำไมนิยมทักษิณ ทำไมจึงบ้าคลั่งและรุนแรง และเป็นอะไรไม่ได้มากไปกว่าถั่วงอกทางการเมือง ทั้งนี้นั้งนั้นก็เพราะความ "ไร้การศึกษา" นั่นเอง แต่พวกที่มีการศึกษาล่ะ ในแดงก็มีไม่น้อยและนำขบวนอยู่ เป็นมันสมองอยู่ พวกนี้มาจากไหน ? เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์เราจะต้องตัดคนพวกหนึ่งออกเสียก่อน พวกนั้นคือ "แดงหลอกแดก" พวกนี้ส่วนมากจะเป็นนักการเมือง แต่ไม่ใช่นักการเมืองฝ่ายแดงทุกคนจะ หลอกแดก ที่จริงใจก็มีไม่น้อยกล่าวเฉพาะพวกหลอกแดก ที่แดกจนอิ่มและถอนตัวไปแล้วคือพวกปากห้อย และที่เหลืออยู่ก็ยังมีไม่น้อย หมาตายวันไหนเห็บก็คงกระโดดกันเป็นแถวๆ พวกที่ดูเหมือนมีการศึกษา และเข้าร่วมขบวนแดงด้วยความจริงใจ เป็นกำลังระดับนำในความคิด ในมันสมอง ในเศรษกิจ ในการสื่อสาร มีดังต่อไปนี้

    1.พวกที่แดงโดย แรงจูงใจทางระบบเศรษฐกิจ พวกนี้มีตั้งแต่ระดับแม่ค้าของชำ จนถึงบริษัทมหาชน เป็นพวกที่เชื่อในระบบทุนนยมผูกขาดสุดขั้น หรือทุนนิยมสามานย์ ซึ่งเป็นแนวทางเศรษฐกิจของระบอบทักษิณ พวกนี้จึงนิยมชมชื่นว่าทักษิณบริหารแล้วเศรษฐกิจดี แนวคิดทางเศรษฐกิจที่พวกนี้ยึดถือ ก็คือ กำไรสูงสุด เอาเปรียบแรงงานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาเปรียบผู้บริโภคสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ทำลายสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ไม่ต้องสนใจ อะไรที่มาขวางการลงทุนต้องทำลาย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิมนุษยชน กฎหมาย สถาบันทางสังคม วัฒนธรรมประเพณี ศาสนา ทุกอย่างต้องถูกทำลาย และนำมาสังเวยเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจเท่านั้น กล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของสิ่งใดๆในสังคมจะมีค่าก็ต่อเมื่อมันมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่า นั้น นี่คือพื้นฐานแนวคิดทางเศรษฐกิจของพวกทุนนิยมสามานย์ พวกที่แนวคิดแบบนี้ก็จะชื่นชอบระบอบทักษิณ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีการศึกษาสูงเพียงใด ก็จะมองไม่ออกเลยว่า ทักษิณชั่วตรงไหน

    2.พวกที่แดงโดน แรงจูงใจทางลัทธิศาสนา พวกนี้คือผู้ที่อยู่ในร่มเงาศรัทธาของวัดจานบิน ซึ่งเป็นลัทธิศาสนาทุนนิยมสุดขั้ว ที่อำพรางรูปกายภายนอกคล้ายๆศาสนาพุทธ จะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกสำหรับพวกนี้ก็อยู่ที่การลงทุนเพื่อลัทธิ พ่อแม่พี่น้อง ญาติมิตร และสังคมจะฉิบหายยังไงก็ได้ ถ้าทำเพื่อลัทธิก็จะได้สวรรค์เป็นกำไรชีวิต คงไม่ต้องบรรยายมากสำหรับกลุ่มนี้ เมื่อคลั่งลัทธิเสียแล้ว การศึกษาใสใดๆปริญญากี่ใบก็ไร้ความหมาย

    ตอบลบ
  7. 3.พวกที่แดงโดย แรงจูงใจทางการเมืองแบบล้าหลัง พวกนี้คือพวกที่คลั่งในแนวคิดมาร์กซิส หรือที่เรียกว่าพวก "ซ้ายไดโนเสาร์" ที่ละเมอเพ้อพกอยู่กับทฤษฎีทางสังคมยุคเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งฝรั่งฉีกเช็ดขี้ไปนานแล้ว พวกนี้ก็ยังเอามาท่องกันอยู่อีก สังเกตได้ง่ายพอจะทำความเข้าใจสังคมขึ้นมาพวกนี้จะรีบกาวตำราวิภาษวิธีขึ้น มาทันที ด้วยการกินแต่ของที่หมดอายุอย่างนี้เอง พวกนี้จึงไม่ได้พัฒนาทางปัญญาของตัวเองเลย หารู้ไม่ว่าทฤษฎีทางสังคมนั้นเขาได้พัฒนาไปไกลกว่าที่พวกตัวเองเข้าใจแล้ว หลายปีแสง นอกจากหลงผิดทางทฤษฎีแล้วพวกนี้ยังอารมณ์ค้างจากการที่ปฏิวัติไม่สำเร็จ มาตั้งแต่เมื่อพรรคคมอมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รวมถึงฝังใจกับเหตการณ์ที่มิตรสหายถูกเข่นฆ่ากลางเมืองเมื่อเดือนตุลาคมใน อดีตถึงสองรอบ เป็นหนี้แค้นเดือนตุลา ที่หาทางชำระมาตลอด และมักอดไม่ได้ที่จะชี้นิ้วโทษสถาบันกษัตริย์ พวกนี้จึงอยากล้มเจ้าหนักหนา ( และแอบกระซิบกันเองในหมู่พวกว่าเมื่อล้มเจ้าเสร็จค่อยไปล้มทุนสามานย์ต่อ 5555 )

    4.พวกที่แดงโดยแรงจูงใจทางการเมืองแบบลัทธิเลือกตั้ง และลัทธิเสียงส่วนใหญ่ คนพวก นี้ส่วนมากจะเป็นนักวิชาการแบบที่ท่านพุทธทาสกล่าวว่า "พวกหมาหางด้วน" คือตกเป็นทาสความรู้ของตัวเองจนโงหัวไม่ขึ้น และสูญเสียความสามารถที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ กลายเป็นนักท่องจำตัวฉกาจเป็นดอกเตอร์แห่งการท่องจำ แต่ไร้ปัญญา ความคิด แนวคิดทางการเมืองที่วิวัฒนาการสูงสุดแล้วของพวกนี้คือ การเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยโดยตัวมันเอง และเสียงส่วนใหญ่มีอำนาจเผด็จการณ์เหนือเสียงอื่นทุกเสียงในสังคม ด้วยการที่สมองของพวกนี้สถิตนิ่งไร้พัฒนาการ จึงพากันมองประชาธิปไตยเป็นสิ่งสถิตเช่นกัน หารู้ไม่ว่าประชาธิปไตยก็มีพัฒนการตลอดเวลา และไปไกลกว่าที่พวกตัวเองเข้าใจมากแล้ว วันๆพวกนี้จึงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าผลิต "วาทกรรมกลวง" เช่นเราฝ่ายประชาธิปไตย-เขาฝ่ายอำมาต, อำมาตยาธิปไตย, สองมาตรฐาน, นิติรัฐ ฯลฯ และชื่นชมในหมู่กันเองว่าช่างคิดได้โก้หรู พวกนี้นั้นต้องการประชาธิปไตยจริง แต่เนื่องจากสรุปผิดว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง จึงสรุปว่าเมื่อระบอบทักษิณซึ่งที่จริงเป็นระบอบทรราชแต่มีการเลือกตั้ง พวกนี้เลยคิดว่าเป็นประชาธิปไตย ตามสมการที่ตัวเองเข้าใจ แม้ว่าจะมีตัวบุคคลที่ไม่มีวันเป็นนักประชาธิปไตยได้เลยร่วมสมทบขบวนแถวเสื้อแดง เช่น พัลลภ เฉลิม สล้าง ฯลฯ( ดีนะผู้พันตึ๋งติดคุกเสียก่อนไม่งั้นหนุกแน่.. ) พวกนี้ก็ไม่ใส่ใจ นอกจากนี้พวกนี้ก็มีลักษณะร่วมโดยพื้นฐานแบบเดียวกับพวกซ้ายไดโนเสาร์ คือ ท่องจำขี้ปากฝรั่งมาว่าสถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งเชย เป็นสิ่งไม่ควรมี จึงโน้มเอียงจะคิดล้มเจ้าด้วย แต่ตอนนี้พอรบไปรบมาสีแดงแพ้ ทุกยก สังเกตได้ว่าพวกนี้เริ่มลดความคาดหวังอหังการ์แล้วจากคิดล้ม มาขอแค่ "ลดอำนาจกษัตริย์ในส่วนที่เกินประชาธิปไตย" นี่คือโดยสังเขปสำหรับพวกนี้

    5.พวกที่แดงโดยแรงจูงใจทางการเมืองแบบไร้เดียงสา เช่น พวกเอ็นจีโอสมองกลวงบางส่วน พวกนักเขียนหนุ่มบางคน และส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยบ้าง เพิ่งจบออกไปแล้วบ้าง พวกนี้ได้รับอิทธิพลจากทั้งนักวิชาการหางด้วน และจากซ้ายไดโนเสา แต่เป็นพวกหัวกลวงและขี้เกียจหาความรู้ เช่น ทำทีเป็นว่านิยมซ้ายและวิพากษ์เจ้า แต่อย่าถามอะไรลึกๆนะตอบไม่ได้หรอก เพราะไม่เคยอ่านหนังสือ หรืออ่านมาสองเล่มก็คิดว่ากูตรัสรู้แล้ว นี่ก็เป็นจำพวกหนึ่งในหมู่แดงที่ค่อนข้างมีการศึกษา

    6.พวกแดงใน รอบบอบทักษิณเดิมๆส่วนนี้เป็นพวกข้าราชการชั้นผู้น้อยถึงระดับกลางบางกลุ่ม และพวกการเมืองท้องถิ่น เช่น ครูบางกลุ่ม ตำรวจบางกลุ่ม อบต.หลายๆแห่ง พวกนี้เคยได้รับผลประโยชน์บางอย่างมาก่อนจากการเป็นแขนขาของระบอบทักษิณ ดังนั้นจึงยังตามเชียร์กันอยู่ การศึกษาไม่มีผลกับคนกลุ่มนี้เพราะนับจากออจากรั้วสถาบันการศึกษา พวกนี้ก็ไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดเพิ่มอีก

    เหล่านี้คือโดยย่นย่อพอสังเขปสังหรับเสื้อแดง ที่ไม่ใช่มวลชนพื้นฐาน ผู้ไร้เดียงสา ล้าหลัง คลั่งทุน

    ตอบลบ
  8. ชอบคำว่า"วัดจานบิน"อ่ะ ฮ่าๆๆๆๆเอิ๊กสส ฮาขรี้แตรก ค๊าบ ชอบๆๆๆ
    โดนอ่ะ

    ตอบลบ